
Sed rutrum sem ut
สิงหาคม 3, 2018
การพัฒนา ‘มารีน่าฮับ’ ภายใต้คำถามแห่งสมดุล”
โครงการ “มารีน่าฮับ” ที่วางเป้าหมายผลักดันภูเก็ตสู่การเป็นศูนย์กลางเรือยอร์ชระดับเอเชียและจุดหมายปลายทางระดับโลก กำลังได้รับการขับเคลื่อนจากกลุ่มธุรกิจเอกชน ด้วยความหวังถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ทว่าภายใต้ภาพฝันที่สวยงามนี้ ชุมชนท้องถิ่นและนักอนุรักษ์กลับตั้งคำถามถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบนิเวศชายฝั่งตะวันออกของภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของหญ้าทะเล พะยูน และพื้นที่ทำกินของชาวประมงพื้นบ้าน
พื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของภูเก็ตมีระบบนิเวศที่เปราะบาง ซึ่งอาจมีผลกระทบที่ถูกมองข้ามในแผนพัฒนา ตั้งแต่ป่าชายเลน หญ้าทะเล ไปจนถึงชายฝั่งโคลน ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของความหลากหลายทางชีวภาพ หากโครงการมุ่งเน้นการขุดลอกร่องน้ำและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยละเลยการศึกษาผลกระทบที่ครอบคลุม อาจนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจฟื้นคืนได้
ธนู แนบเนียน ตัวแทนจากองค์กรฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน กล่าวถึงความสำคัญของการวางแผนที่รอบด้านว่า “การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ ต้องมีการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ที่ครอบคลุมทั้งระบบ ไม่ใช่แค่พื้นที่โครงการ แต่รวมถึงผลกระทบทางทะเล ชายฝั่ง และวิถีชีวิตชุมชน หากละเลยในจุดนี้ เราอาจเห็นการทำลายธรรมชาติซ้ำรอยเหมือนกรณีขุดลอกร่องน้ำที่ตรัง ซึ่งทำให้พะยูนสูญเสียแหล่งอาหารและอัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น”
นอกจากนั้น ธนูยังเน้นว่า ภูเก็ตซึ่งเป็นพื้นที่รองรับการอพยพของพะยูนจากทะเลอันดามันตอนล่าง เข้ามาอยู่ในฝั่งตะวันออกของภูเก็ต จำเป็นต้องระวังการพัฒนาอย่างยิ่ง ทั้งเส้นทางการเดินเรือ การก่อสร้าง ขุดลอกร่องน้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อชีวิตของสัตว์สงวนใน IUCN RED LIST ที่เหลือน้อยเต็มทีมาก พื้นที่ป่าชายเลน หญ้าทะเล การขุดลอกร่องน้ำ หรือปัญหาในการก่อสร้างที่ ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระยะยาวที่แก้ไขไม่ได้ และธรรมชาติในพื้นที่อาจได้รับความเสียหายถาวร
“การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แบบแคบ ๆ ไม่เพียงพอ ต้องมีการประเมินเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ที่ครอบคลุมและมองถึงผลกระทบระยะยาว”ธนู แนบเนียน ตัวแทนองค์กรฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน กล่าว
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการและชุมชน
ปาล์ม-ณัฐวัฒน์ ศศิธร ผู้ประกอบกิจการดำน้ำจาก Laytrang Diving PADI 5 Star IDC และเป็นนักอนุรักษ์ในพื้นที่ มองว่า โครงการนี้สามารถสร้างงานและรายได้ใหม่ให้กับชุมชนได้ โดยเฉพาะในส่วนของการซ่อมบำรุงเรือยอร์ชและการจ้างงานในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
“มารีน่าฮับสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่ได้จริง เช่น งานในอู่ซ่อมเรือหรือแรงงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการบริการเรือยอร์ช แต่เราต้องไม่ลืมตั้งคำถามว่า การพัฒนาจะกระทบธรรมชาติแค่ไหน ทั้งหญ้าทะเล ป่าชายเลน และสัตว์ทะเลที่เปราะบางอย่างพะยูน หากละเลยจุดนี้ รายได้ที่ได้มาอาจไม่คุ้มกับความเสียหายระยะยาว”
ปาล์มยกตัวอย่างบทเรียนจากมัลดีฟส์ การพัฒนาที่ภูเก็ตสามารถเรียนรู้จากโมเดลนี้ได้ โครงการ Crossroads Maldives โครงการนี้เน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยผสมผสานการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ากับการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อให้การพัฒนาเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
“มัลดีฟส์พิสูจน์แล้วว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจสามารถอยู่ร่วมกับการอนุรักษ์ธรรมชาติได้ ถ้าวางแผนให้รอบคอบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ต้น”
การพัฒนาที่คำนึงถึงธรรมชาติและชุมชน
ความสำเร็จของ “มารีน่าฮับ” ไม่ควรวัดเพียงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ควรสะท้อนถึงความรับผิดชอบในการปกป้องธรรมชาติและสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเศรษฐกิจ
“ถ้าทุกคนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ทั้งชุมชน นักอนุรักษ์ และภาคธุรกิจ เราจะสามารถสร้างการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ปาล์มกล่าว
“การพัฒนาที่ดีต้องเริ่มจากการฟังเสียงคนในพื้นที่ ถ้าพวกเขามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก โครงการจะลดความขัดแย้งได้มาก”
ข้อเสนอแนะจากชุมชน
📍EIA และ SEA ที่โปร่งใส ต้องมีการประเมินศักยภาพของพื้นที่ว่าสามารถรองรับได้หรือไม่ และผลกระทบของโครงการและระบบนิเวศทั้งบกและทะเล และผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน
📍เวทีสาธารณะและการฟังเสียงทุกฝ่าย รัฐบาลและผู้พัฒนาควรเปิดโอกาสให้ชุมชน นักอนุรักษ์ และธุรกิจท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
📍การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเป้าหมายหลัก โมเดลการพัฒนาควรสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและธรรมชาติ โดยไม่ทำลายศักยภาพในระยะยาวของภูเก็ต
“มารีน่าฮับ” จุดเปลี่ยนที่ต้องสมดุล
ในท้ายที่สุด “มารีน่าฮับ” อาจเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับภูเก็ตสู่เวทีโลก แต่ความสำเร็จของโครงการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชุมชน ธรรมชาติ และเศรษฐกิจได้รับการพัฒนาไปพร้อมกัน เพราะภูเก็ตไม่ควรเติบโตบนซากปรักหักพังของทรัพยากรธรรมชาติ แต่ควรเป็นตัวอย่างที่แสดงให้โลกเห็นถึงพลังของการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน